วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

20101214 : AI613 Class6

E-Business and E-Commerce

Amazon.com เดิมเป็นเว็บไซต์ที่ขายหนังสือออนไลน์ โดยจะปกติแล้วคนจะซื้อหนังสือที่เป็น Best Seller (TOP10 หรือ TOP5) เป็นส่วนใหญ่ แต่ Amazon มองว่า คนพวกนั้นเป็นเพียง 10% ยังมีคนอีกประมาณ 90% ที่ชอบหนังสือแปลกๆ จึงใช้ Concept แบบ Long tail เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเหล่านั้น
Click-&-mortar เป็นธุรกิจที่มีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ตั๋วเครื่องบิน และโรงแรม เป็นต้น

E-Commerce Business Model
- Affiliate market คือ การรีวิวสินค้าแล้วสร้างลิงค์มาโพสในเว็บเรา ถ้ามีคนซื้อของโดยกดผ่านเว็บเรา จะทำให้เราได้เปอร์เซ็นตจากที่ขายได้
- Bartering online คือ การยื่นหมูยื่นแมว เป็นเว็บไซต์ที่มาแลกเปลี่ยนกัน (craigslist.com) เป็น message board อยากทำธุรกิจหรือพูดคุยกับคนกลุ่มใดก็สามารถทำได้ และสามารถ trade off ได้
- Priceline.com เช่นการเสนอราคาซื้อขายตั๋วเครื่องบิน
- Flickr.com เป็น website ที่ใช้ upload รูปภาพฟรี ด้วย concept “Freemium” และยังเป็น long-tail เนื่องจากผู้ใช้ที่ต้องการ application ที่ซับซ้อน เช่น นักเล่นกล้อง จะต้องจ่ายเงินเพิ่มกว่าผู้ใช้ทั่วไป

Application Programming Interface เป็นการ link โปรแกรมของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน เช่น Apple iPhone, Android application ตัวอย่างเช่น Paypal เป็นการ Online Payment เช่นในการซื้อขายของจากต่างประเทศ ไม่อยากใช้บัตรเครดิต เพราะกลัวปัญหาเรื่องความปลอดภัย

Benefits of E-commerce
      ข้อดีสำหรับองค์กร คือ เข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม ทั้งการซื้อขายออนไลน์และออฟไลน์ หากการสินค้าที่ซื้อแบบออนไลน์มีปัญหา สามารถติดต่อได้ที่เคาน์เตอร์ออฟไลน์
      ข้อดีสำหรับลูกค้า คือ สามารถเลือกสินค้าตามที่ต้องการได้ทุกเวลา สะดวก ต้นทุนต่ำ
      ข้อดีสำหรับ Society คือ ทำให้คนเจอหน้ากันมากขึ้น เพราะอยู่ที่บ้านก็สามารถทำงานได้

Limitation of E-commerce
- เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว (Browser ที่ใช้ต่างกัน ก็ใช้ไม่ได้)
- ฐานข้อมูลบัตรเครดิตไม่มีความปลอดภัย อาจโดนแฮ็คได้
 
Social commerce or Social shopping การซื้อของไม่ได้อยู่ๆก็ซื้อ ต้องมีการหาข้อมูล ปรึกษาผู้รู้ก่อน โดยอาจหาข้อมูลจากนิตยสาร
Google กลัว FB เพราะ FB มีฐานข้อมูลที่ใหญ่มาก เกือบ 70% เข้า FB เกือบทุกวัน โดย FB กำลังพัฒนาตัวเองให้เป็น Search engine ที่ใหญ่ที่สุด
 
Electronic Catalog (E-catalog) เป็นแคตตาล็อกออนไลน์ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ผ่านอินเตอร์เน็ท

E-Auction เช่น uBid.com เป็นการประมูลออนไลน์ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการประมูลแบบคนต่อคนเท่านั้น แต่อาจเป็นบริษัทที่มีสินค้าที่ตกรุ่นแล้วมาให้คนประมูลก็ได้
 
E-Classifieds เช่น Half.com เป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าครึ่งราคา คนที่ขี้เกียจประมูลสามารถมาเลือกซื้อสินค้าจากเว็บนี้ได้

Electronic storefronts คือมีธุรกิจอยู่แล้ว แต่เพิ่มการทำออนไลน์เข้าไปด้วย ซึ่งมีข้อดีคือ เข้าถึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม ไม่ต้องสต๊อกสินค้าไว้เยอะ ถ้าสินค้ามีปัญหาก็เอาไปเคลมหน้าร้านได้ แต่ข้อเสียคือ ต้องมี management แยกกัน โดยในการทำ Electronic storefronts จะต้องมี Customer service online ที่ดี ได้แก่ การมี FAQ ที่เป็นคำถามที่เจอบ่อยๆ เช่น ถ้าสินค้ามีปัญหาจะคืนยังไง เป็นต้น

Electronic Malls คือ ความพยายามที่จะทำให้ผู้บริโภคสัมผัสกับประสบการณ์ที่เหมือนการเดินชอปปิ้งในห้าง

Chemconnect คือ ตัวอย่างบริษัทซื้อขายสารเคมีที่ใช้เว็บไซต์ในการซื้อขาย

Alibaba.com เป็นเว็บไซต์ที่เหมือน Tarad.com แต่รวมทั้งเอเชีย ซึ่งสามารถซื้อสินค้าได้หลากหลาย ทั้งจากจีน อินเดีย เกาหลีใต้ หรือบริษัทต่างๆ อาจเข้าไปเช็คว่ามีสินค้าอะไรบ้างในประเทศไหน ก่อนจะไปบินไป negotiate ซื้อขายโดยตรง

Online Job Market เช่น Monster ที่คนที่ต้องการหางานจะเอาประวัติหรือ CV ไปโพสไว้ ถ้ามีคนสนใจก็จะมีการติดต่อกลับมา เป็นการพยายาม Match คนจ้างกับคนหางาน

Travel Services ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอีกธุรกิจที่ใช้อิเล็คทรอนิค หรือ IT เยอะมาก เริ่มตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถไฟ โรงแรม ที่เที่ยว การทำกิจกรรมต่างๆ การกิน การซื้อของ ซึ่งธุรกิจท่องเที่ยวจะมี Supply chain เยอะมาก มีการทำเป็นแพ็คเกจให้คนเข้าไปเลือกได้ เช่น hotelsthailand.com

Real Estate Online เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน คอนโด ออนไลน์ โดยมีการใช้ social media ในไทย เช่น พฤกษา เป็นต้น

      การทำ E-commerce ไม่จำเป็นต้องเป็นทางธุรกิจอย่างเดียว อาจเป็น E-government ก็ได้ เช่น การทำPassport ข้อมูลจะ link กันหมด, E-revenue การจ่ายภาษีออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี E-auction เช่นการประมูลทะเบียนรถ อีกด้วย

Ethical & Legal Issues in E-Business การซื้อของหรือทำธุรกรรมต่างๆ ต้องดูว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ส่วนใหญ่จะดูจากระบบรีวิวของผู้เคยใช้บริการ แต่ในเมืองนอกจะมีเว็บไซต์ที่คอย Report ว่าเว็บไซต์นี้ดีมั้ย มีการให้เรตติ้ง แต่ในเมืองไทยน่าจะยังไม่มี จึงต้องอาศัยการรีวิวจากผู้ที่เคยใช้เป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจ

Presentation
1. Cloud Computing
      ระบบเสมือนจริง (Virtualization) ที่ Computer ของผู้ใช้ ทำหน้าที่เพียงติดต่อ User Interface เพื่อแสดงผลและรับคำสั่ง และสื่อสารไปยังบริการต่าง ๆ บน Cloud System เพื่อการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูล ประมวลผล และใช้โปรแกรมประยุกต์ (Application Programs) ที่หลากหลาย
      ข้อดีคือไม่ต้องลงทุนเอง เพราะลงทุนด้านไอทีมันแพง และบางบริษัทไม่ได้มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับเซิร์ฟเวอร์จำนวนมาก การทำ Cloud computing จะช่วยประหยัดต้นทุนและทำให้บริษัทสามารถโฟกัสไปยัง Core competency ของบริษัทได้ นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการล้าสมัย การใช้เซอร์วิสที่ไปดึงข้อมูลจากคนอื่น ไม่ต้องเก็บข้อมูลไว้เอง ทำให้ต้นทุนถูกกว่ามาก
      ข้อเสียคือ Privacy อาจโดนแฮคได้, Platform ไม่มีความเป็นมาตรฐาน เพราะผู้ใช้พัฒนา Platform เอง และในด้านความน่าเชื่อถือนั้น การดึงข้อมูลจากคนอื่น ไม่รู้ว่าระบบจะล่มเมื่อไหร่ เช่น hotmail ถ้าระบบเกิดล่ม service ใช้ไม่ได้ขึ้นมาก็จบ แต่ถ้าเรามีระบบเป็นของตัวเอง ก็สามารถเซฟตรงนี้ได้ ทั้งนี้ แม้จะเกิดความคุ้มค่าของการใช้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่อาจสิ้นเปลืองทรัพยากรด้านการสื่อสาร (Bandwidth) บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในมูลค่าที่สูงกว่าได้

2. Health Informatics
     การนำข้อมูลที่เกี่ยวกับทางด้านสุขภาพมาผนวกกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อนำมาใช้ในการจัดการทรัพยากร, เครื่องใช้ต่างๆ และนำมาพัฒนาปรับปรุงวิธีการได้มา, การเก็บรักษาและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เกี่ยวสุขภาพ
      ระบบสารสนเทศสุขภาพ (Health Information) หมายถึง สารสนเทศที่เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชน รวมถึงข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข และกิจกรรมสาธารณสุข โดยสารสนเทศสุขภาพแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลด้านประชากร เศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลด้านสถานสุขภาพ ข้อมูลด้านทรัพยากรสาธารณสุข ข้อมูลด้านกิจกรรมสาธารณสุข และข้อมูลด้านการบริหารจัดการ
      ประโยชน์ของสารสนเทศสุขภาพ คือ ทำให้ทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

3. Web 2.0
      Web 2.0 คือ Web Browser ที่ผู้ใช้งานจะเป็นเจ้าของข้อมูลบนเว็บไซต์ ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลนั้นๆ ได้ นอกจากนี้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ยังสามารถสร้าง content และ Tag content ของเว็บไซต์ ซึ่งต่างจาก Web 1.0 แบบเดิมที่มีลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว และยังใช้เวลานานในการอ่านและตอบสนองข้อมูล แต่ Web 2.0 จะมีการ Refresh แค่บางส่วนของหน้าเว็บ ทำให้ส่งข้อมูลและตอบสนองเร็วขึ้น เช่น Google map รวมถึงการมีคุณสมบัติ mash-up ที่เป็นการนำฟังก์ชั่นการใช้งานจากเว็บหลายๆ ที่มาผนวกเข้าด้วยกัน
      ตัวอย่าง Web 2.0 ได้แก่ YouTube, Facebook, MySpace, Wikipedia


น.ส.จิราพร พรพัฒนกุลฑล
ID NO. 5202112743

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น